วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559
8 กันยายน วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ
เรามารู้จักประวัติและความเป็นมาของวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือกันเถอะ
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ที่โลกได้มีการเฉลิมฉลองวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ (International Literacy Day) ในวันที่ 8 กันยายนของทุกปี โดยเริ่มต้นแต่ปี พ.ศ. 2509 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ อันเป็นหลักการของ UNESCO
การประชุมสมัยสามัญของ UNESCO แรกเมื่อปี พ.ศ. 2489 ผู้อำนวยการใหญ่ได้ เรียกร้องให้ชาวโลกให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อปวงชน(Education for All) โดยเฉพาะเด็กที่ตกหล่นอยู่นอกโรงเรียนและในที่ประชุม World Conference of Ministers of Education on the Eradication of llliteracy ณ กรุงเตหะราน เมื่อปี พ.ศ. 2508 มีการเสนอให้ วันที่ 8 กันยายน ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของการประชุมดังกล่าว ให้เป็นวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้นำเสนอประเด็นในช่วงนี้คือ ทศวรรษแห่งการรู้หนังสือ ภายใต้คำขวัญของ “Literacy as Freedom” การรู้หนังสือเป็นการให้อิสรภาพแก่ผู้คนทั้งหลาย เป็นอิสรภาพจากความไม่รู้ อิสรภาพจากความยากจน อิสรภาพจากความเจ็บไข้ได้ป่วย เพียงเพราะคนเหล่านั้น มีความรู้ สามารถอ่านออกเขียนได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อรู้หนังสือและมีโอกาสนำไปปฏิบัติแล้ว ก็จะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเสรี และมีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น การรณรงค์ในวันที่ 8 กันยายน จึงเป็นความพยายามที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลของทุกๆ ประเทศ และทุกๆ คนในสังคมตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องระดมสรรพกำลังแก้ไขปัญหาความไม่รู้หนังสือของประชากรในประเทศ โดยมีเป้าหมายของการศึกษา คือการเพิ่มอัตราการอ่านออกเขียนได้ 50% ในปี 2,015
ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันที่ระลึกสากลแห่งการเรียนรู้หนังสือขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2510 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นเวลา 2 ปี หลังจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO จัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่กรุงเตหะราน เมื่อปี ค.ศ. 1965 และมีมติให้ถือเอาวันที่ 8 กันยายนของทุกปี เป็นที่ที่ระลึกสากลแห่งการเรียนรู้หนังสือ (International literacy Day) และเริ่มจัดงานเพื่อรณรงค์ส่งเสริมกระตุ้นเตือนสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ เมื่อ 8 กันยายน 2550 เป็นต้นมา
จากการจัดงานเล็กๆ ภายในกองการศึกษาผู้ใหญ่และตามโรงเรียนต่างๆ แล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 กองการศึกษาผู้ใหญ่จึงจัดงานวันการศึกษาผู้ใหญ่แห่งชาติขึ้น ในวันที่ 8 กันยายน เมื่อมีการสถาปนากรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2522 ก็มีการจัดงานวันการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นในวันดังกล่าว และได้ถือว่าวันที่ 8 กันยายน เป็นวันการศึกษานอกโรงเรียนด้วย แต่กระนั้นก็ตามสาระสำคัญของงานในวันดังกล่าวก็ยังให้ความสำคัญในฐานะวันที่ระลึกสากลแห่งการเรียนรู้หนังสือตลอดมา การจัดงานในวันที่ 8 กันยายนขยายตัวจากการจัดงานเล็กๆ มาสู่การจัดงานร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนมาด้วยกันและถือว่าการรู้หนังสือเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งของการศึกษานอกโรงเรียน
ปี พ.ศ. 2551 เป็นปีแรกที่เริ่มมีพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยขอบข่ายของงานกว้างขวางครอบคลุมกิจการเรียนรู้ของผู้คนในชาติหลายมิติ แต่เพื่อที่จะให้การรณรงค์ส่งเสริมการเรียนรู้หนังสือเด่นชัดขึ้น จึงได้ยกเอาวันที่ 8 กันยายน เป็นวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ
เหตุผลสำคัญก็คือ สถานการณ์การรู้หนังสือของประชาชนคนไทยในปัจจุบันแม้จะดีขึ้น กล่าวคือมีประชากรที่รู้หนังสือถึงร้อยละ 98 มีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ แต่ก็มีคำถามที่น่าสนใจก็คือผู้คนจำนวนร้อยละ 2 ของประชากรไทย 63 ล้านคนคือประชากรจำนวนกว่า 1.2 ล้านคน นั้น เป็นใครอยู่ที่ไหน ไม่รู้หนังสือจริงหรือ ปัจจุบันคนเหล่านี้ทำอะไรอยู่และสิ่งที่เขาทำนั้นเกิดผลอย่างไรต่อตัวเขาเอง ครอบครัวชุมชนและประเทศบ้าง
เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวน 1.2 ล้านกว่าคนนี้ บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง และเราก็คงได้ข่าวอยู่เสมอว่าเกิดผู้ไม่รู้หนังสือใหม่ขึ้นทุกวัน อันเนื่องมาจากการลืมหนังสือ เพราะชีวิตในแต่ละวันไม่ได้ใช้หรือเกี่ยวข้องกับหนังสือเลย หลายท่านอาจจะนึกว่าผู้ไม่รู้หนังสือเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุ แล้วทิ้งไว้เฉยๆ อัตราผู้ไม่รู้หนังสือก็ลดลงเอง จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ! แม้จริงแล้ว จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสผู้คนในพื้นที่ พวกเราชาว กศน. ตระหนักดีว่าผู้ไม่รู้หนังสือนั้นทุกกลุ่มอายุ อาศัยอยู่ทั้งในเมือง ในชนบท ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล แม้ใจกลางกรุงเทพมหานครก็สามารถหาผู้ไม่รู้หนังสือได้ไม่ยาก
ผู้ไม่รู้หนังสือส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี คุณภาพชีวิตด้อยค่าและถูกกันออกไปอยู่ชายขอบของสังคม ลองจินตนาการดูถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนยากจนเจ็บป่วยอ่านไม่ออก แม้แต่ฉลากยาที่ติดอยู่ข้างกล่องหรือซองใส่ยา แล้วกินยาเข้าไปโดยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร! จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผู้ไม่รู้หนังสือเหล่านี้ถูกขอให้ทำสัญญาที่ตนเองอ่านไม่ออกเลย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่สามารถอ่านหนังสือหรือข้อความใดๆ ได้เลย จึงต้องฟังคนอื่นบอกให้ฟังและทำตามอย่างเดียว โดยไม่มีช่องทางอื่น ในการแสวงหาความรู้! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ไม่รู้หนังสือที่เป็นกำลังแรงงาน ในกระบวนการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม! คนเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วไม่มีทางเลือกอื่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการงานของตนเอง คงจะมีบ้างเพียงบางส่วนกระมัง ที่เอาตัวรอดไปได้เพราะเหตุปัจจัยอื่น แต่ไม่ทุกคน
สังคมไทยเราอาจจะประเมินตนเองไว้คอ่นข้างสูงเกินความจริงว่าการไม่รู้หนังสือน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และเชื่อว่าคนจำนวนมากที่รู้หนังสือแล้วจะนำทางสังคมนี้ให้ไปรอด แต่เราก็ละเลยที่จะหันกลับมาทบทวนดูตัวเราว่า ในกลุ่มคนที่ว่ารู้หนังสือนั้นรู้กันแค่ไหน รู้แบบอ่านออกเป็นนกแก้วนกขุนทอง เขียนได้แบบงูๆ ปลาๆ หรือถึงระดับคิดวิเคราะห์ได้ด้วย และหากจะตั้งมาตรฐานการรู้หนังสือให้สูงขึ้นถึงขั้นแสวงหาความรู้จากเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้ว เราคงจะเห็นช่องว่างของคุณภาพการศึกษาอย่างมโหฬาร
4 ทศวรรษของการเดินทางของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งในสังกัดกองการศึกษาผู้ใหญ่ก็ดี กรมการศึกษานอกโรงเรียนในอดีตก็ดี จนถึงสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในปัจจุบันก็ดี เป็นการเดินโดยลำพังเพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่มากของการศึกษาแม้จว่าจะมีกัลยาณมิตรหลายคนหลายองค์กรช่วยกันทำงานก็ตาม ความพยายามที่จะพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน การอบรมครู มีการศึกษาวิจัยและรณรงค์ส่งเสริมในรูปแบบต่างๆ มากมาย ก็นับเป็นความพยายามที่จะแยกรับปัญหาสำคัญของประเทศ
แม้ว่าปัญหาการไม่รู้หนังสือจะคงอยู่ไม่หมดสิ้นไปง่ายๆ จากสังคมไทย แต่ในขณะเดียวกันบริบทของสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ ตลอดจนวิถีการผลิตเปลี่ยนแปลงไป โลกกำลังกล่าวถึงเศรษฐกิจ ฐานความรู้ สังคมแห่งการเรียนรู้ ทำให้คำจำกัดความของ Literacy ที่เราแปลว่า การรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้นั้น ได้ขยายความไปมากกว่านั้น ปัจจุบันมีการกล่าวถึง Computer Literacy, Science Literac6, health Literacy, Democracy Literacy ฯลฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังสร้างคำจำกัดความของ Literacy ขึ้นใหม่ ในบางประเทศมีการกำหนดคุณลักษณะของ Literacy เกือบเท่ากับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษาที่มากกว่าภาษาแม่ มีความรู้ความเข้าใจทางพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สุขอนามัยการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ นี้คือความท้าทายใหม่ต่อการรู้หนังสือในยุคปัจจุบัน เพราะในขณะที่เรากำลังจะรณรงค์กันอีกครั้ง เพื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของคนไทย โลกได้ก้าวข้ามระดับของการรู้หนังสือให้สูงขึ้นไปอีก ยิ่งต้องวิ่งไล่กวดในเชิงคุณภาพของการศึกษา โอกาสที่คนไทยเราจะแข่งขันกันในเวทีโลกอย่างเท่าเทียมกันยิ่งห่างไกลออกไป
แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรย่อท้อ ไม่ใช่เพราะกลไกลของบ้านเมืองของเราไม่ดี หากแต่สังคมไทยยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปมีบทบาทในการส่งเสริมการรู้หนังสือและแก้ปัญหาการไม่รู้หนังสืออย่างจริงจัง เราไม่ควรหวังว่า กศน. จะเป็นผู้รับผิดชอบแก้ปัญหานี้ต่อไปเพียงลำพัง แต่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทยก็คือเราควรจะถือว่าปัยหาคุณภาพการศึกษาเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน ปัญหาการไม่รู้หนังสือควรอยู่ในความรับผิดชอบของคนไทยทุกคนและช่วยกัน โดยถือว่าการรู้หนังสือเป็นวาระแห่งชาติอีกประเด็นหนึ่ง
กิจกรรมศูนย์อาเซียนศึกษา
โครงการศูนย์อาเซียนศึกษาส่งเสริมการสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น หลักสูตรการบอกเส้นทางและหลักสูตรการสนทนาในการค้าขาย
โครงการเด็กปฐมวัย
จัดขึ้น ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดเขตมง และ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดวังทรายพูน เพื่อให้เด็กปฐมวัย มีพัฒนาการด้านการอ่านและการกล้าแสดงออก
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
วัดป่าเขาน้อย
วัดป่าเขาน้อย
วัดป่าเขาน้อย เป็นวัดพุทธศาสนา คณะธรรมยุติกนิกาย ก่อตั้งขึ้นตามแบบแผนแห่งวัดที่มุ่งลักษณะวิปัสสนาธุระทั่วไป วัดตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านเนินหัวโล้ หมู่ที่ 5 ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ปัจจุบันมี พระเสถียร กันตฺสีโล อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าเขาน้อยมีคณะนักบวชประพฤติจริยาเป็นประจำอยู่ประมาณ 15-25 รูป
![]() |
ป้ายหน้าวัด |
![]() |
ทางเข้าวัด |
วัดป่าเขาน้อยเริ่มก่อตั้งเป็นวัดสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อปี พ.ศ. 2536 ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) ในที่ดินพื้นที่บริเวณ “ หนองแฟบ ” ซึ่งมีขอบเขตที่เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา ให้กับ นายวงเดือน อัสโย ซึ่งเป็นอุบาสกผู้ริเริ่มก่อสร้างวัดในครั้งแรก และนายวงเดือน ได้มีศรัทธาถวายที่ดินแปลงดังกล่าวให้เป็นที่สร้างวัด
ปี พ.ศ. 2537 นายวงเดือน อัสโย ได้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดต่อทางราชการในที่ดินแปลงที่ได้รับเอกสารสิทธิ์แล้วนั้น และได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนา ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงศึกษาธิการ และมหาเถรสมาคม อนุญาตให้สร้างวัดได้ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2537
ปี พ.ศ. 2538 นายวงเดือน อัสโย ได้จัดทำรายงานขอตั้งวัด โดยขอตั้งชื่อวัดว่า “ วัดป่าเขาน้อย ” โดยมี หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม (หมายถึงพระครูสันติวรญาณ ซี่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติวรญาณ ต.วังศาล อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ด้วย) เป็นเจ้าอาวาส เมื่อมีรายงานเสนอต่อทางราชการ จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมได้ออกประกาศตั้งวัดป่าเขาน้อยให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2538 และโดยมีพระอ่ำ ธัมมกาโม เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้น
ปี พ.ศ. 2539 ได้มีประกาศพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดป่าเขาน้อยลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 113 ตอนที่ 18 ง เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2539 มีนายอำเภอวังทรายพูนเป็นผู้ปักหมายเขตวิสุงคามสีมา ณ บริเวณพระอุโบสถที่อยู่กลางหนองน้ำ ชื่อ ‘ หนองแฟบ ’ ในพื้นที่เป็นบริเวณ กว้าง 30 เมตร ยาว 40 เมตร โดยประมาณ
โดยทั่วไปแล้ว ทราบกันดีว่าหลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นพระอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักวิปัสนาแห่งนี้ แต่หลวงปู่จันทาไม่ยอมรับในการแต่งตั้งให้ตนเองเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาได้ยอมรับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าเขาน้อย เมื่ออยู่ในวัยชราภาพแล้ว โดยรับการเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2549 จวบกระทั่งวันมรณภาพ อนึ่งวัดป่าเขาน้อยในอดีตกาลนั้น เมื่อสมัยตั้งแต่ก่อตั้งวัดเป็นต้นมาคราคร่ำไปด้วยผู้คน และบรรดานักปฏิบัติธรรม พบว่าในอดีต มีพระมาพำนักจำพรรษาอยู่อาศัยประกอบสมณะกิจ ที่ประมาณ 50-70 เป็นประจำ แตกต่างจากปัจจุบันซึ่งมีพระสงฆ์และนักปฏิบัตธรรมจำนวนน้อย ซึ่งอยู่ช่วยกันดูแลศาสนวัตถุ และศาสนสถานไม่ให้รกร้างและชำรุดทรุดโทรมมากเกินไป
สถานที่ภายในวัด
งานปูนปั้นเรื่องราวพุทธประวัติภายในบริเวณวัด
พระอุโบสถกลางน้ำ, หอพระไตรปิฎก, ศาลาโรงฉัน, กุฏิถาวรประมาณ 60 หลัง, ศาลาโรงฉันน้ำร้อน, อาคารผู้มาพักปฏิบัติธรรม 6 อาคาร, อาคารเก็บรักษาของบริจาค, พระเมรุ, ถังคอนกรีตเก็บกักน้ำ 3 ถัง ถนนและกำแพงคอนกรีตในพื้นที่ประมาณ 280 ไร่, อาคารที่ล้างบาตร, สระน้ำ, บ่อน้ำบาดาล, ถ้ำประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร, วิหารรายรอบพื้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์, พระพุทธรูปพระพุทธมณฑลมงคลบพิตร, เจดีย์ศรี
ดูแผนที่คลิ๊กตรงนี้
ดูแผนที่คลิ๊กตรงนี้
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
![]() |
หลวงปู่จันทา ถาวโร |
ก. ชีวิตฆราวาส
๑. ชาติภูมิ
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์ และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน ดังนี้
๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
๕) นายบุญ ไชยนิตย์
๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒. ลูกกำพร้า
หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า “อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตนี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตาย เพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย”
ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า “ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโต ๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว”
พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า “มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอก” นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ
๓. ลูกชาวนา....ไร้การศึกษา
เราเกิดมาชาตินี้ แสนทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นท่ามกลางไร่นา อายุ ๗ ปี แม่ตาย ๑๐ปี พ่อตาย เราก็เป็นลูกกำพร้า อยู่กับพี่น้องเขาก็พาให้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนอะไร ทำนาตั้งแต่อายุ ๗ ปี นะ เริ่มทำจากนั้นมาถึง ๒๕ ปี แหมมันแสนทุกข์ยากลำบาก ๕ โมงเช้าถึงจะได้กินข้าว นั่นแหละปวดหลัง ปวดเอว บ่นเพ้อละเมอใจว่า เมื่อไหร่หนอเราจะพ้นจากการทำนา มันทุกข์ยากลำบาก
๔. นายพรานใหญ่
หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า ผมเป็นนายพรานใหญ่นะ บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด สมัยผมเกิดนะไปหาปลาหาบตะกร้าไป บ้านนั้นมี ๑๐ หลังคาเรือนคุ้มนี้นะ ๒ คนนี่หาบตะกร้าไปเลย ลงไปหนองน้ำ ปลานี่ชุกชุมยุบยับ.....ๆ.....ๆ ไปถึงก็กำเอาๆ จนเต็ม ๒ หาบตะกร้า เอามาตั้งไว้กลางบ้าน แล้วก็ร้องบอกชาวบ้าน “มาเด๊อ !.....ไผอยากได้ก็มาเอา”
ตั้งไว้แล้วก็ไป ชาวบ้านก็ถือตะกร้าลงมา อยากได้ตัวไหนก็เอาไป พอเขากลับกันหมดแล้ว ปลาที่เหลือจึงไปเอามากินนะ ข้อยไปก็อย่างนั้น เจ้าไปก็อย่างนั้น แต่ก่อนไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย จะเอาไปทำอะไร สัตว์นั้นมันหลาย นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากแล้วชีวิตนี้
๕. ได้เมียแม่หม้าย
พอเติบใหญ่ อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้าย ลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน
เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า “วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจ กลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไป มัวเถลไถลเที่ยวเล่น จนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋....เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไรจึงตัดสินใจแยกทางกับเมีย อย่างเข็ดหลาบ”
ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่งใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี
ข. ออกบวช
๑. เหตุแห่งการบวช
ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวช บำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒ - ๓ พรรษา แล้วก็จะสึก จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละ มันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่า จนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋.....คนอื่นเขายังได้เว้ย ! เอาวันละคำนะ “เอสาหัง ภันเตฯ.....” อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดงมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส
๒. อุทิศบุญให้แม่
หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย “บุญ ที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้น ก็ขอแบ่งส่วนบุญให้”
จากนั้นก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔ - ๕ วัน ฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ
๓. ให้พระเณรช่วยสอน
เมื่อหลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีจันทร์ ในหมู่บ้านแดงซึ่งมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส หนังสือไม่ได้เรียน อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น เป็นแต่เลี้ยงควาย ไถนา คราดนา เท่านั้น วิชาความรู้ประจำชีวิตทางฝ่ายโลกก็ไม่เป็น เมื่อเข้ามาทางฝ่ายธรรม จะมาเรียนปริยัติ ตรี โท เอก ก็ไม่มี เพราะเขียนไม่เป็น อ่านไม่ได้
ทีนี้ก็มาตั้งใจประพฤติวัตรปฏิบัติ อ่อนน้อมค้อมตัวต่อพระเณร “ครูบาท่าน !.....เมตตาสงเคราะห์ไอ้คนทุปัญญาเถอะว้า บางทีผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แล้วนั้นก็จะได้ผลบุญผลกุศลจากผมที่ได้ธรรมมะจากท่านฝึกสอนให้นี้นั้น ไปอบรมบ่มนิสัย ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา จะได้เป็นบุญกุศลของตน และท่านผู้ฝึกสอนถ่ายทอดความรู้ให้นั้น”
เขาเหล่านั้น บางองค์ก็พอใจฝึกสอนให้ บางองค์ก็เฉยถือตัวสำคัญว่า ผมนี้บุญน้อย วาสนาน้อย ฝึกสอนความรู้ให้แล้วก็คงจะไม่เป็นไปดอก ดูกิริยามารยาทแล้ว จะไม่เป็นไปในทางศาสนาดอก ถึงบวชก็ได้เพียงแค่พรรษาเดียว ก็จะตายเท่านั้นแหละ
แม้อาจารย์ที่เป็นผู้ปกครอง คือ หลวงปู่นัน ตาปโส ท่านก็พูดแล้ว พูดเล่า พูดกับพี่สาวผมนั่นแหละ “แม่ต่วน !.....เอาผีบ้ามาบวชใช่ไหมเล่า ? ดูแล้วมันไม่ใช่คน ไม่เต็ม ขาดสลึงหนึ่ง ไม่เต็มคน มันจะไม่เป็นไป ”
พี่สาวก็เลยว่า “ โอ๋.....ตั้งแต่วันเกิดมา ฉันเองเป็นคนเลี้ยงมาแต่น้อย จนถึงใหญ่ น้องทุกคน ทั้งที่ตายแล้วหรือยังอยู่ก็ดี สมบัติ สีสัน วรรณะ กิริยา มารยาท ก็ไม่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นบ้าใบ้อะไรหรอกปู่ พอมีบุญอยู่ แต่ก็ขอให้ปู่ช่วยรับสงเคราะห์ต่อไปเถิด จะดีหรือชั่วก็จะได้เห็นกันข้างหน้าโน้น”
เรื่องดีชั่ว ที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนโน้น ก็ไม่อาจล่วงรู้กันได้ จะรู้กันได้ก็แต่ในปัจจุบันกับอนาคต นั่นแหละ แต่แล้วพระบางองค์ ท่านก็รังเกียจ เห็นว่า วิชาความรู้อะไรก็ไม่มี อ่านหนังสือก็ไม่ได้ เขียนก็ไม่เป็น ก็เลยไม่สอนให้ เณรบางองค์ก็รังเกียจ บางองค์ก็เมตตา แต่แล้วก็มีน้องชาย ๒ คน ซึ่งเป็นลูกน้าสาว (น้องแม่) เขาบวชอยู่แล้ว องค์หนึ่งบวชเป็นพระได้นักธรรมโท อีกองค์หนึ่งเป็นเณร ได้นักธรรมเอก เขาก็เมตตาสอนให้ ถ้าได้ดีข้างหน้าโน้นแล้วจะได้พึ่งพิงอิงอาศัยบ้าง และจะเป็นบุญเป็นกุศลของผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ นั่นแหละ
๔. คำสั่งสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์
พอบวชแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็บอกว่า “พระจันทา (ครับ) เธอนั้นเป็นคนทุกข์ยากลำบาก ความรู้วิชาอะไรก็ไม่ทันเขา วาสนาก็น้อย บุญก็น้อย พลอยรำคาญทุกข์ยากนานไม่มีวันว่างเว้น ถ้าบวชแล้วอย่าสึกนะ (ครับ) สึกไป ฟ้าผ่าห่ากินนะ ให้มันตายฉิบหาย มันไม่มีสติปัญญาวิชาความรู้เกิดมาภพน้อย ภพใหญ่ ทำตนเป็นคนกำพร้า อนาถา ทุกข์ยากเดือดร้อน อาทรใจอยู่อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ ไม่มีสติปัญญา เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา แต่ไม่เหมือนกัน เขามีที่พึ่งพิงอิงอาศัย เราไม่มี เหมือนกับสุนัขกลางบ้าน นั่นแหละ สุนัขกลางบ้านทั้งเป็นขี้เรื้อน อีกด้วย”
“นั่นแหละ อย่าสึกนะ !.....สึกแล้วฟ้าผ่าห่ากิน ไปไหน ให้มันตายมันโง่นี่ มันไม่มีสติปัญญาฉลาด จะไม่ทำคุณงานความดี ใส่ตนหลงไปตามแต่อารมณ์ของโลก เรื่องโลกๆ ฟังแต่ว่าโลก มันประกอบไปหมดทุกอย่าง รวมอยู่นั้นเรียกว่าโลก ส่วนเรื่องธรรมนี่มันน้อยนัก แต่ละภพแต่ละชาติที่จะได้มาประสบพบปะ ได้เจริญธรรมนั้นก็เป็นของยาก ทีนี้มาชีวิตนี้ได้พบแล้ว ก็ตั้งใจเจริญสะสมบุญ ให้เกิดมีขึ้นทุกเมื่อ อย่าได้ขาด เอาชีวิตเป็นแดน”
“ครับ” มีแต่ครับ รับได้เลย เพราะมองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่เหมือนเขา เอ้า.....ตั้งใจ
“ถ้าผมประพฤติวัตรปฏิบัติไปอย่างครูบาอาจารย์ หรืออุปัชฌาย์สอนนี่ จะเป็นบุญหรือเป็นบาป จะดีขึ้น หรือเสมอเดิมหรือถอยหลัง”
“อ้าว !.....มันก็เป็นบุญ มีแต่ดีขึ้น ไม่ถอยหลัง คงที่ก้าวหน้าไปเท่านั้นแหละ ความโง่ก็จะหมดไป ความฉลาดก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป บาปคือความโง่หลาย ทุกข์ยากลำบาก นั่นแหละบาป โทษปาณาติบาตที่ทำไว้ก็หนักมหันต์ เธอต้องบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ไหวนะ ตายไปตกนรกหมกไหม้เป็นทุกขเวทนา หาวันจบสิ้นไม่ได้”
อุปัชฌาย์อาจารย์ สอนแล้วสอนเล่า ก็พอใจ มองดูโลกคือหมู่สัตว์ มันเหมือนกันไหมเล่า สูงต่ำ ดำขาว จนมี ดีชั่ว ฉลาด โง่เขลาเบาปัญญา นั่นแหละ มันไม่เหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงไม่เหมือนกัน เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เป็นผู้ตกแต่งโลกคือหมู่สัตว์นั้นให้ต่างกัน
กัมมุนา วัตตะตี โลโก โลกคือหมู่สัตว์ กรรมย่อมจำแนกตกแต่งให้ฉลาดโง่เขลา เบาปัญญา อายุสั้นพลันตายหรืออายุยืนยาว ไม่เหมือนกัน ร่ำรวย สวย จน ก็ไม่เหมือนกัน เพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้ ไม่ใช่สิ่งใดดอกที่จะตกแต่งให้ มีแต่กรรมเท่านั้น
กรรมดี กรรมชั่ว นั่นแหละ ที่ตกแต่งให้โลก ได้แก่สัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่เหมือนกัน ถ้ากรรมดีมีแล้ว ก็ได้ดั่งใจหมาย จะทำไร่ทำนา ก็เจริญ ค้าขายก็เจริญ ศึกษาเล่าเรียนก็เจริญ ทันสมัยเขา เป็นเจ้าเป็นนาย ฉลาดมีสติปัญญาดี เพราะบุญเป็นเครื่องเสริม นั่นแหละ ถ้าบุญไม่มีแล้ว จะทำอะไรก็ล้าสมัยเขา ผลสุดท้ายก็ บ่าแบกหลังหนุน น้ำเหงื่อไหลไคลย้อย ทุกข์จนค่นแค้นแสนกันดาร ทำงานวันยังค่ำก็ไม่พอกิน
โอ้.....นี่เห็นจริง ๆ นะ แหม.....ผมนั้นรูปร่างล่ำสันใหญ่เขาจ้างให้ขุดโพนใหญ่ ๒ - ๓ วัน แล้วเลย (เสร็จเลย) พอได้กินสืบวันเท่านั้น นี่มันต่างกัน คนเขาร่ำรวยมีวาสนาไม่ได้ทำมากเท่าใด ก็เหลือกิน เหลือใช้ นั่นแหละคงจะเป็นอย่างว่า เกิดขึ้นเพราะกรรมดี กรรมชั่ว ทั้งนั้น
ทีนี้ ก็ตั้งใจเจริญบุญตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เจริญบุญ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอน ผ่อนอาหารมาไม่ลดละ เมื่อเจริญมรรค เครื่องส่งจิตเข้าสู่ความสงบได้ ความสุขเยือกเย็นเกิดขึ้นภายใน คือ ความสงบสุขนั้น นั่นแหละก็เห็นอำนาจของบุญ คือ ความสุขเยือกเย็นที่แท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี สมัยเป็นฆราวาส กินลาบวัวลาบควายกับเหล้า ก็นึกว่ามันอร่อยเต็มที่แล้วนะ ซุบหน่อไม้ส้มกับปูนา แต่ก่อนนะมันอร่อยแหม ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่าจิตสงบครั้งหนึ่งนะ
จิตสงบครั้งหนึ่ง แหมมันอร่อยเยือกเย็นหาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี นั่นแหละเป็นรสชาติอันอร่อย การสะสมบุญก็ส่งผลมาเป็นระยะ ๆ ถ้าบุญพาวาสนาส่งทั้งภพชาติก่อนโน้น จะได้สะสมไว้ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ดี มาองค์นี้ก็ดี ก็ขอจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาพุทธไม่ลดละ อย่าได้หวั่นไหวไปตามโลก ตามสงสาร มีความยึดมั่นกระสันพอใจเจริญธรรม ทั้งเช้า กลางวัน เย็น กลางคืนอยู่ทุกเวลา ไม่ประมาท นั่นแหละ มันก็เห็น เป็นอย่างนั้น มีความมั่นมาเสมอ
๕. ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด
ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น” นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋.....ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ”ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋.....ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า ”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
๖. ทำบุญกับพระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึง
ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”
พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง
“ทำอย่างไรเล่า ?”
น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหล ไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔ - ๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์ก็มี สมัยนั้นวัวควายไม่มีราคา
“แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”
“โอ๋.....พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน (กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทอง (ใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยา ต่างๆ นานา”
ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศไปให้ไม่ถึงก็เพราะ
๑) ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์เหล่านั้นไปขวางไว้
๒) ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งนั้นคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น
๗. ทำบุญอุทิศให้คนเป็น
หลวงปู่ยังเล่าไว้อีกว่า หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวเป็นทหารเสือพรานไปรบที่เวียดนามเหนือ แล้วถูกเขาจับขังไว้ ๔ ปีนะ ทุกข์ยากลำบากแสนที่จะตาย ก็นึกว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทย ทีนี้ พี่สาวกับพี่เขย เขาก็มานิมนต์พาไปทำบุญหาหลานสงสัยจะตายไปแล้ว มาถึงก็พาเขาทำเลย อย่าฆ่าวัว ฆ่าควายนะ ถ้าต้องการก็ไปหาเนื้อปลาอาหารที่ตลาดที่เขาทำไว้แล้ว จึงจะอุทิศถึง นั่นแหละก็เลยทำ ทำเสร็จก็อุทิศให้ว่า
“ขอบุญจงไปถึงนายแขก เขาไปอยู่เวียดนามเหนือนั้นจะตายหรือยัง ถึงตายแล้วก็ดี หรือยังอยู่ก็ดี ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ถ้ายังไม่ตายขอให้กลับคืนมาเมืองไทย”
ไม่นานเขาก็มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันนะ รัฐบาลเขาประกาศว่า ใครมีลูกมีหลาน ก็ไปรอรับเอาที่ขอนแก่น หรือโคราชนะ เขาจะขึ้นเครื่องบินมาลงที่นั่น นั่นแหละพี่น้องเขาก็ไปรอรับ โอ๋...ผอมดำเหมือนผี กลับมาแล้ว เขาก็ซักไซ้ไต่ถามดูว่า
“เป็นอย่างไรเล่า ทำบุญให้ได้รับไหม ?”
“โอ้.....เดือน ๓ เพ็ญ นอนหลับฝันไปนะ มีแต่ข้าวต้มขนมเต็มอยู่ กินจนเต็มอิ่มนะ ตื่นขึ้นมาก็อิ่มอีกนะ โอ๊.....อาจจะแม่นพ่อแม่เขาทำบุญมาให้นะ”
นั่นแหละ ไม่นานก็พ้นโทษ รัฐบาลทั้ง ๒ ก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน กลับมาแล้วก็ดีใจ นั่นแหละผลของบุญดีอย่างนั้น
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
กิจกรรมโครงการ วันรักการอ่านบรรณสัญจร 2 เมษายน 2559
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศให้ ปี พ.ศ.2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน และมีมติให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็นวันรักการอ่าน ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่จะพัฒนาคนไทยให้มีความสามารถในด้านการอ่าน และคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบได้ จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายด้านการส่งเสริมการอ่าน การประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่าน เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงการอ่าน การรู้หนังสือและลดความเหลื่อมล้ำ โดยได้รับบริการอย่างเสมอภาค ได้รับโอกาสในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูล โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นห้องสมุดประชาชน “ เฉลิมราชกุมารี” อำเภอวังทรายพูน จึงได้กำหนดจัดโครงการ วันรักการอ่านบรรณสัญจร 2 เมษายน 2559 ขึ้น ณ สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจิตร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)